เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2025 OpenAI ได้เปิดตัว Agent Builder พร้อม AgentKit ในงาน DevDay 2025 ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณท้าทายตรงไปยังผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสร้าง workflow และ AI agent รายใหญ่อย่าง Langflow, n8n, Dify และ Make ที่ครองตลาดมาก่อน Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI เปรียบเทียบ Agent Builder ว่าเป็น "Canva สำหรับการสร้าง agent" ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถออกแบบ workflow ด้วยการลากและวางได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเขียนโค้ดซับซ้อน[1]
Agent Builder มาพร้อมกับชุดเครื่องมือครบวงจรที่เรียกว่า AgentKit ซึ่งประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่ Agent Builder สำหรับออกแบบ workflow แบบ visual, ChatKit สำหรับสร้างหน้าต่างแชทที่สามารถฝังลงเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันได้, Evals for Agents สำหรับวัดประสิทธิภาพของ agent และ Connector Registry สำหรับเชื่อมต่อกับเครื่องมือต่างๆ อย่างปลอดภัย ระบบนี้ถูกโฮสต์บน OpenAI โดยตรง ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการโครงสร้างพื้นฐานเอง[2][3]
หลังจากการประกาศครั้งนี้ ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม workflow ชั้นนำต่างออกมาแสดงจุดยืน โดย Langflow ออกมาเปรียบเทียบอย่างตรงไปตรงมาว่า ถึงแม้ Agent Builder จะมีข้อดีในเรื่องความง่ายและการโฮสต์บน OpenAI โดยตรง แต่ Langflow ยังคงมีข้อได้เปรียบสำคัญ คือ ความสามารถในการเลือกใช้โมเดล AI จากผู้ให้บริการหลายรายได้ และมีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งมากกว่า[4] ขณะที่ n8n ยืนยันว่ายังคงยึดมั่นในหลักการให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น การสนับสนุนชุมชน และความสามารถในการรองรับงานที่ซับซ้อน โดยเพิ่งได้รับทุนเพิ่มเติม 180 ล้านดอลลาร์ มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 2,500 ล้านดอลลาร์[5][6]
ในขณะเดียวกัน Dify ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสร้าง AI agent ยอดนิยมที่มียอดดาวบน GitHub มากกว่า 115,000 ดวง ออกมาระบุว่าในปีนี้การแสดงเดโมเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอแล้ว ต้องแสดงให้เห็นว่าสามารถสร้าง agent ระดับ production ที่ใช้งานจริงได้[7][8] ส่วน Make ผู้ให้บริการสร้าง workflow มองในแง่ดีว่า ยิ่งมีคนให้ความสนใจเรื่อง agent มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อธุรกิจในวงการนี้โดยรวม และ Make เองก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบธุรกิจจำนวนมากแล้ว[9]
จุดแข็งที่แต่ละแพลตฟอร์มนำมาอ้างเพื่อยืนยันความสามารถในการแข่งขันนั้นแตกต่างกันไป:
- n8n เน้นการเป็น open-source ที่สามารถ self-host ได้ มีการเชื่อมต่อกับบริการต่างๆ มากกว่า 400 รายการ และให้อิสระในการเขียนโค้ดปรับแต่งเพิ่มเติม[10]
- Langflow โดดเด่นด้วยการรองรับ LLM จากหลายผู้ให้บริการ มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถปรับแต่งด้วย Python ได้[11]
- Dify มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแอปพลิเคชัน AI แบบ no-code/low-code ด้วยการรวม LLM เข้ากับข้อมูลของผู้ใช้งาน พร้อมระบบ RAG pipeline ที่แข็งแกร่ง[12]
- Make (เดิมชื่อ Integromat) มีฐานผู้ใช้งานขนาดใหญ่และเน้นความง่ายในการสร้างระบบอัตโนมัติที่ซับซ้อนโดยไม่ต้องเขียนโค้ด
การเปิดตัว Agent Builder ของ OpenAI สร้างแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงในวงการ workflow automation และ AI agent builder ทำให้ผู้เล่นเดิมต้องชี้แจงจุดยืนและข้อได้เปรียบของตนอย่างชัดเจน แม้ว่า OpenAI จะมีจุดแข็งในเรื่องการโฮสต์ที่สะดวกและการทำงานร่วมกับระบบ OpenAI ได้อย่างราบรื่น แต่แพลตฟอร์มอื่นๆ ก็ยังคงมีความได้เปรียบในด้านความยืดหยุ่น การรองรับหลายผู้ให้บริการ และความสามารถในการปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับองค์กรที่มีความต้องการซับซ้อนหรือต้องการควบคุมระบบอย่างเต็มที่
