Gemini 3 เตรียมเปิดตัว พร้อม 5 ฟีเจอร์ใหม่ที่จะชนะใจผู้ใช้เหนือ ChatGPT

28c5b3fb-6827-81a9-a9b4-c1e5325d1277.png

ข่าวลือเกี่ยวกับโมเดล AI รุ่นใหม่ของ Google กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมากในวงการเทคโนโลยี หลังจากที่มีการค้นพบ code strings ใน GitHub repository ของ google-gemini/gemini-cli ที่อ้างถึง "gemini-3.0-ultra" และ "gemini-beta-3.0-pro" ทำให้นักพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า Gemini 3 อาจเปิดตัวภายในปลายปี 2025 ถึงแม้ Google ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่สัญญาณต่างๆ บ่งชี้ว่าโมเดลรุ่นนี้กำลังอยู่ในช่วงทดสอบขั้นสุดท้าย[1][2]

Gemini 3 เป็นโมเดล AI รุ่นถัดไปจาก Gemini 2.5 Pro ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในโมเดลที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในปัจจุบัน โดย DeepMind ของ Google วางแผนพัฒนาให้เป็นโมเดล large language model (LLM) ที่มีความสามารถในการทำความเข้าใจแบบ multimodal ที่ครอบคลุมมากขึ้น รองรับทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอได้อย่างราบรื่น พร้อมกับสถาปัตยกรรมการคิดเชิงลึก (deep thinking architecture) ที่ช่วยให้สามารถแก้ปัญหาซับซ้อนที่ต้องใช้การคิดหลายขั้นตอนได้ดีกว่าเดิม[3][4]

เพื่อให้ Gemini 3 สามารถแข่งขันกับ ChatGPT ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประเด็นสำคัญ 5 ข้อที่ Google จำเป็นต้องพัฒนา ได้แก่

การปรับปรุงความสามารถด้าน Multimodal แบบเรียลไทม์

Gemini 3 ต้องสามารถประมวลผลวิดีโอแบบเรียลไทม์ได้สูงถึง 60 FPS พร้อมทั้งเข้าใจวัตถุ 3 มิติและข้อมูลเชิงพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับความสามารถด้าน vision ของ ChatGPT ที่มีอยู่แล้ว[5]

การเพิ่มขนาด Context Window

คาดว่า Gemini 3 จะมี context window ขนาดใหญ่ถึง 128,000 tokens หรือมากกว่า ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำงานกับเอกสารขนาดใหญ่หรือบทสนทนายาวๆ ได้ดีขึ้น และแข่งขันกับความสามารถของ GPT-4 ที่มีอยู่[6][7]

ความเร็วและประสิทธิภาพการประมวลผล

แม้ว่า Gemini 2.5 Flash จะมีความเร็วในการสร้าง token ถึง 372 tokens ต่อวินาทีแล้ว แต่ Gemini 3 ยังต้องรักษาความเร็วนี้ไว้พร้อมกับเพิ่มความแม่นยำในการตอบคำถามที่ซับซ้อน เพื่อให้สามารถแข่งขันกับ ChatGPT ในด้านประสิทธิภาพได้[8]

การพัฒนา Reasoning และ Problem-solving

Gemini 3 จำเป็นต้องมีระบบการคิดเชิงเหตุผลที่ลึกซึ้งมากขึ้น โดยเฉพาะในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการเขียนโค้ดที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นจุดแข็งของ ChatGPT ในปัจจุบัน[9]

การผสานรวมกับระบบนิเวศของ Google

ข้อได้เปรียบที่ Google มีคือการเชื่อมต่อกับบริการต่างๆ เช่น Google Search, Gmail, YouTube และ Android อย่างราบรื่น หาก Gemini 3 สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสร้างความได้เปรียบเหนือ ChatGPT ที่เป็นแพลตฟอร์มแบบสแตนด์อโลน[10]

การแข่งขันระหว่าง Gemini 3 และ ChatGPT จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ AI ในปี 2025 โดยทั้งสองฝ่ายต่างมีจุดแข็งที่แตกต่างกัน ขณะที่ ChatGPT นำหน้าในเรื่องจำนวนผู้ใช้งานประจำที่มากกว่า 160 ล้านคนต่อวัน แต่ Gemini ก็มีฐานผู้ใช้ผ่าน Google services ที่กว้างขวางถึง 350 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการแข่งขันนี้ไม่ได้จบเพียงแค่ความสามารถของโมเดล แต่ยังรวมถึงการเข้าถึงและการบูรณาการกับชีวิตประจำวันของผู้ใช้งานด้วย[11]