แอปพลิเคชันส่งข้อความจากอินเดียอย่าง Arattai Messenger กำลังสร้างกระแสอย่างแรงในตลาดเอเชียใต้ หลังจากสามารถทำยอดดาวน์โหลดพุ่งทะลุ 5 ล้านครั้งภายในไม่กี่วัน และกระโดดขึ้นสู่อันดับ 1 บน App Store ในหมวด Social Networking แซงหน้าแอปยักษ์ใหญ่อย่าง WhatsApp, Telegram และ Snapchat ตามรายงานจาก StartupTalky และ DemandSage แอปนี้พัฒนาโดย Zoho Corporation บริษัทซอฟต์แวร์ชื่อดังจากเมืองเจนไน ประเทศอินเดีย โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลอินเดีย เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ Dharmendra Pradhan ออกมาแนะนำให้ประชาชนหันมาใช้แอปพลิเคชันที่พัฒนาในประเทศ ภายใต้แคมเปญ Swadeshi ของนายกรัฐมนตรี Narendra Modi
Arattai ซึ่งชื่อมาจากคำในภาษาทมิฬที่แปลว่า "การสนทนาแบบสบายๆ" เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมกราคม 2021 แต่เพิ่งได้รับความสนใจอย่างล้นหลามในช่วงปลายปี 2025 โดยมีสถิติที่น่าทึ่ง คือ มียอดลงทะเบียนเพิ่มขึ้นจาก 3,000 เป็น 350,000 บัญชีภายในเพียง 3 วัน และมีผู้ใช้งานรายเดือน (Monthly Active Users) มากกว่า 1 ล้านคนในช่วงที่มีการเติบโตสูงสุด ตามข้อมูลจาก Zoho อีกทั้งยังมีการเพิ่มผู้ใช้ใหม่มากกว่า 2 ล้านคนในวันเดียว แสดงให้เห็นถึงแรงตอบรับที่ทรงพลังจากผู้ใช้ในภูมิภาค
ความสามารถที่โดดเด่นของ Arattai ประกอบด้วยฟีเจอร์พื้นฐานที่ครบครันเทียบเท่าคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น:
- การส่งข้อความข้อความ และโน้ตเสียง
- การโทรด้วยเสียงและวิดีโอคอล
- การแชร์รูปภาพ เอกสาร และ Stories
- ระบบ Meetings สำหรับการประชุมออนไลน์ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ WhatsApp ยังไม่มี
- รองรับการใช้งานพร้อมกันหลายอุปกรณ์ (Multi-device Support) แบบ Cloud-based
- แอปพลิเคชันสำหรับ Android TV ซึ่ง WhatsApp ยังไม่ได้เปิดตัว
นอกจากนี้ Arattai ยังเน้นย้ำเรื่องความเป็นส่วนตัว โดยอ้างว่าไม่แชร์ข้อมูลผู้ใช้กับบุคคลที่สาม และข้อมูลถูกเข้ารหัสบน Cloud Storage แต่ตามรายงานจาก Livemint ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยได้ชี้ให้เห็นข้อจำกัดสำคัญ คือ แอปนี้ยังไม่มีระบบ End-to-End Encryption สำหรับข้อความทั้งหมด ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่ WhatsApp มีมาตั้งแต่ปี 2016 ทำให้ยังมีข้อกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลสำหรับผู้ใช้ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวสูง
แม้ว่า Arattai จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในตลาดอินเดีย แต่การแข่งขันกับ WhatsApp ซึ่งมีผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 3 พันล้านคน และในอินเดียมากกว่า 500 ล้านคนนั้น ยังคงเป็นเรื่องท้าทาย การเติบโตของ Arattai สะท้อนให้เห็นถึงกระแสความต้องการแอปพลิเคชันที่พัฒนาในประเทศและการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่การพิสูจน์ความยั่งยืนและการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของแอปนี้ในระยะยาว
