เมื่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไมโครซอฟต์ได้เตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ห่วงโซ่อุปทาน โดยรายงานจาก Nikkei ระบุว่าบริษัทกำลังวางแผนย้ายฐานการผลิตอุปกรณ์ Surface ทั้งแล็ปท็อปและแท็บเล็ตออกจากประเทศจีน โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้เร็วสุดในปี 2026 ท่ามกลางนโยบายภาษีศุลกากรและข้อจำกัดการส่งออกที่เข้มงวดยิ่งขึ้น[1]
ตามรายงานจาก TrendForce ไมโครซอฟต์ได้สั่งการให้ซัพพลายเออร์เตรียมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเติมสำหรับโครงสร้างพื้นฐานเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ บริษัทยังกำลังเร่งให้ซัพพลายเออร์ผลิตชิ้นส่วนนอกประเทศจีน และเร่งย้ายสายการประกอบคอนโซล Xbox ออกจากประเทศด้วยเช่นกัน โดยมีเป้าหมายให้การผลิตแล็ปท็อป Surface สามารถดำเนินการนอกจีนได้ภายในสิ้นปีหน้า[2]
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ครอบคลุมทั้งการผลิตชิ้นส่วน การประกอบผลิตภัณฑ์ และฮาร์ดแวร์เซิร์ฟเวอร์สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคต ซึ่งไมโครซอฟต์ได้เริ่มย้ายการผลิตเซิร์ฟเวอร์บางส่วนออกจากจีนไปแล้ว และกำลังผลักดันให้มีการผลิตคอนโซล Xbox เพิ่มเติมในประเทศอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพาจีนให้มากที่สุด[3]
เวียดนามกลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับการย้ายฐานการผลิตของผู้ผลิตเทคโนโลยีหลายราย โดย Rest of World รายงานว่าเมืองไฮฟองทางภาคเหนือของเวียดนามได้เห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ ไมโครซอฟต์ไม่ใช่บริษัทเดียวที่กำลังขยายการผลิตนอกจีน Apple ก็มีรายงานว่ากำลังเตรียมผลิตอุปกรณ์ใหม่หลายชิ้นในเวียดนามเช่นกัน รวมถึงหน้าจอฮับสมาร์ทโฮม กล้องรักษาความปลอดภัยภายในบ้าน และหุ่นยนต์ตั้งโต๊ะขั้นสูง ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการกระจายความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทาน[4]
บริบทของการเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศข่มขู่จีนด้วยภาษีศุลกากรเพิ่มอีก 100 เปอร์เซ็นต์ และมาตรการควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์ที่เข้มงวดขึ้น ขณะที่สหรัฐอเมริกาและจีนเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือใหม่ต่อเรือของกันและกัน และปักกิ่งได้กำหนดกฎการส่งออกแร่ธาตุหายากที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ทำให้บริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้นนี้[5]
การย้ายฐานการผลิตครั้งนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่กว้างขึ้นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่บริษัทต่างๆ กำลังมองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากจีนเพื่อลดความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ แม้ว่าจีนจะยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญ แต่ความตึงเครียดทางการค้าที่ยืดเยื้อทำให้ผู้ผลิตต้องพิจารณากลยุทธ์ "China Plus One" อย่างจริงจัง โดยเวียดนามกำลังได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ในฐานะจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับการย้ายฐานการผลิตเทคโนโลยีชั้นสูง[6]
