Facebook เริ่มเปิดให้ผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาทดลองใช้ฟีเจอร์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งช่วยเสนอไอเดียในการสร้างเนื้อหาโพสต์และสตอรีโดยอัตโนมัติ โดยวิเคราะห์จากรูปภาพและวิดีโอที่เก็บอยู่ในคลังรูปของโทรศัพท์มือถือ ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาในรูปแบบที่ผู้ใช้ต้องเลือกเข้าร่วม (opt-in) ด้วยตนเอง และต้องอนุญาตให้เข้าถึงคลังรูปทั้งหมดเพื่อประมวลผลบนระบบคลาวด์ก่อนที่จะเริ่มใช้งานได้ รายงานจาก The Verge และ Blognone
การทดสอบฟีเจอร์นี้เริ่มขึ้นตั้งแต่กลางปี 2025 ที่ผ่านมา โดยระบบจะทำการวิเคราะห์เนื้อหาภาพที่ผู้ใช้ยังไม่เคยเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม แล้วนำเสนอรูปแบบไอเดียที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาพ collage จากหลายภาพที่เกี่ยวข้องกัน การสร้างภาพสรุปช่วงเวลาต่างๆ ที่น่าประทับใจ หรือการปรับแต่งภาพให้เป็นสไตล์ศิลปะด้วย AI ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผู้ใช้สามารถเลือกดูไอเดียที่ระบบแนะนำ และตัดสินใจว่าจะเผยแพร่หรือไม่ รวมถึงสามารถปิดฟีเจอร์นี้ได้ตลอดเวลาหากไม่ต้องการใช้งานต่อ
ประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล โดยเฉพาะข้อกังวลว่า Meta บริษัทแม่ของ Facebook อาจนำรูปภาพที่อัปโหลดไปใช้ในการฝึกฝนโมเดล AI ของตน ตัวแทนจาก Meta ได้ออกมาชี้แจงอย่างชัดเจนว่า รูปภาพที่อัปโหลดผ่านฟีเจอร์นี้จะถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการแนะนำไอเดียโพสต์เท่านั้น ไม่มีการนำไปใช้เพื่อฝึกฝนระบบ AI ของ Meta แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับกรณีที่ผู้ใช้เลือกใช้เครื่องมือ AI เพิ่มเติมอื่นๆ ในการสร้างโพสต์ ซึ่งข้อมูลจากการโต้ตอบเหล่านั้นอาจถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาระบบ AI ในอนาคต
ขณะนี้ฟีเจอร์ดังกล่าวเปิดให้ผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาได้ทดลองใช้ก่อน โดย Facebook มีแผนที่จะขยายการให้บริการไปยังประเทศอื่นๆ ในอนาคต การเปิดตัวฟีเจอร์นี้สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่พยายามใช้เทคโนโลยี AI เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สร้างเนื้อหาได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
แม้ว่าจะยังคงมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล แต่การที่ Facebook ออกแบบให้ผู้ใช้เลือกเข้าร่วมด้วยตนเอง และสามารถปิดการใช้งานได้ตลอดเวลา อาจช่วยสร้างความมั่นใจและลดความกังวลได้ในระดับหนึ่ง การพัฒนาเทคโนโลยีในรูปแบบนี้แสดงให้เห็นว่า AI กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถสร้างสรรค์เนื้อหาที่น่าสนใจได้โดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะพิเศษ
ที่มา: รายงานจาก The Verge และ Blognone โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Facebook และ Meta